วิธีการเรียนภาษาญี่ปุ่น 3 เรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยการ์ตูนและซีรียส์
2017.01.23
ภาษาญี่ปุ่นยากหรอ!?
Q จากการเรียนภาษาญี่ปุ่นมามีตรงไหนที่คิดว่ายากครับ?
A:เคโกะ(ภาษาสุภาพ)กับคันจิค่ะ ภาษาไทยไม่มีตัวอักษรจีน แถมตัวหนึ่งก็อ่านออกเสียงได้หลายแบบทำให้จำยากมากเลยค่ะ นอกจากนี่ยังมีภาษาสุภาพและภาษาเป็นกันเองหลายๆรูปแบบ การใช้ภาษาให้ถูกต้องกับสถานการณ์ก็เป็นเรื่องที่ยากเช่นกัน แล้วก็คันไซเบง(สำเนียงคันไซ)ก็ยากด้วยเช่นกันค่ะ
ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ไม่ชินกับคันไซเบง พอพูดว่า 「何言うとんねん!?」(“พูดอะไรอยู่หรอ”แบบคันไซเบง) ทุกคนก็จะแบบ “เอ๊ะ” ขึ้นมา ความจริงแล้วฉันก็หมายความธรรมดาๆว่า “พูดอะไรอยู่หรอ” แต่พอพูดด้วยสำเนียงคันไซแล้วความรู้สึกมันแตกต่างกันมาก (ฮา)
การออกเสียงภาษาญี่ปุ่นไม่ยากนัก แต่จริงๆแล้วพอลองได้ออกเสียงดูก็มีบางเสียงที่ยากอยู่ อย่างเช่น「つ」กับ「す」และ「ち」กับ「し」ที่ค่อนข้างยาก เพราะภาษาไทยไม่มีเสียง「つ」「ち」นั่นเอง
มีวิธีเรียนเพื่อสอบ JLPT ยังไงบ้างครับ?
Q: เคยสอบ JLPT อะไรแบบนี้บ้างไหมครับ?
A: สอบได้ระดับ N1 แล้วค่ะ พอสอบได้ N1 ก็เดินทางมาญี่ปุ่นเลย แต่ว่าไม่เคยมาแลกเปลี่ยนระยะสั้นจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นก่อนมาถึงญี่ปุ่นเลยค่ะ ถึงแม้จะได้ N1 ก็พูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ค่ะ กว่าจะพูดได้ก็ใช้เวลาสักพักหนึ่ง แต่ทางด้านการฟังไม่มีปัญหาค่ะ
ตอนเตรียม JLPT ระดับต้นๆ ไม่ได้เน้นอ่านสอบสักเท่าไหร่ส่วนใหญ่ก็มีสิ่งที่เรียนมาจากโรงเรียนกับที่ทบทวนเอง นอกจากนี้ก็มีดูละครกับฟังเพลงแค่นั้น แต่สำหรับตอนสอบ N1 ก็ได้ซื้อหนังสือมาเตรียมตัวสอบค่ะ
Q: สอบครั้งเดียวผ่าน N1 เลยหรอครับ?
A: ไม่ค่ะ ผ่านในรอบที่ 4 ค่ะ
ตอนนั้นก็คิดๆอยู่ว่าเมื่อไหร่จะผ่าน ช่วงเวลาจัดสอบนั้นเหมือนกันทั่วโลกมีปีละสองครั้งใช่ไหมคะ แบบเดือน 7กับเดือน 12 อะไรอย่างนี้ (การจัดสอบ JLPT นั้นจะถูกจัดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก ยกเว้นอเมริกาจะมีการจัดสอบแค่ครั้งเดียวในช่วงฤดูหนาว)
ถ้าตกรอบนึงก็ต้องรออีกครึ่งปีสินะ อารมณ์ประมาณนี้ค่ะ
ฉันจบจากมหาวิทยาลัยที่ไทยแล้วก็ได้ทำงานในไทยก่อนที่จะมาต่อ ป.โท ที่ญี่ปุ่นค่ะ
ตอนนั้นได้ทำงานในบริษัทผลิตยา เป็นงานเกี่ยวกับการจัดการสินค้าค่ะ ตอนที่เรียนเตรียมตัวสอบ N1 นั้นคือได้ไปญี่ปุ่นแล้วแน่ๆและก็ได้ออกจากงานแล้วค่ะ จึงเหมือนได้โฟกัสกับการเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียว
ความฝันสมัยเป็นนักศึกษาเป็นจริง สู่การเป็นนักศึกษาต่างประเทศ
Q: ในไทยมีคนที่ทำงานก่อนแล้วค่อยไปศึกษาต่างประเทศเยอะไหมครับ?
A: ค่ะ มีเพื่อนที่เหมือนๆกันในไทยเยอะมาก
ความจริงแล้วฉันอยากไปเรียนต่างประเทศก่อนที่จะทำงานแต่ตอนนั้นสอบไม่ติดจึงจำเป็นต้องทำงานค่ะ
พอได้มาก็เหมือนความฝันเป็นจริงเลย
บางที เนื่องจากมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนที่จะมาเรียนต่างประเทศจึงทำให้รู้สึกไม่ลำบากเท่าไหร่
นักศึกษานั้นแตกต่างจากคนทำงานตรงที่สามารถเลือกเวลาได้เองทำให้ไม่ลำบากเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีเวลาหลักของแลปแต่ทุกคนสามารถเลือกเวลาทำงานของตนเองได้ค่ะ การที่สามารถทำงานได้ด้วยความเร็วที่เหมาะสมกับตัวเองก็เป็นข้อดีอย่างยิ่งค่ะ
Q:ช่วยบอกเรื่องที่วิจัยอยู่ตอนนี้อย่างง่ายๆหน่อยได้ไหมครับ?
A: ตอนนี้วิจัยเกี่ยวกับการทำยังไงไม่ให้ยาเข้าไปส่งผลต่อส่วนอื่นของร่างกายที่ไม่ใช้เป้าหมายของยา หรือทำยังไงให้ยาอยู่ในร่างกายได้นานๆค่ะ
ตอนนี้ ในมหาวิทยาลัยก็มีรายงานที่ทำให้ได้เขียนภาษาญี่ปุ่นมากที่สุด แล้วก็ยังมีการพรีเซนต์ซึ่งต้องทำเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกค่ะ การทำสคริปท์เป็นภาษญี่ปุ่นนั้นเป็นอะไรที่ยากและใช้เวลานานมากค่ะ ปกติก็ต้องพูดพรีเซนต์ประมาณ 20-30นาทีค่ะ
Q: ตอนที่อยู่ที่ญี่ปุ่น มีการตั้งกฎอะไรขึ้นมาเองอย่างเช่นจะไม่พูดภาษาไทยไหมครับ
A:ก็ไม่ได้ตั้งกฎว่าจะไม่พูดภาษาไทยอะไรแต่ก็คอยระวังที่จะไม่ผสมภาษาไทยกับภาษาญี่ปุ่นค่ะ
ตอนพูดไทยก็พูดแค่ไทย ตอนพูดญี่ปุ่นก็พูดแค่ญี่ปุ่นค่ะ
ระหว่าง ป.โท ไป ป.เอก ก็มีคนไทยอยู่ด้วยกันค่ะจึงไม่ได้รู้สึกว่าขาดการพูดภาษาไทยแต่อย่างใด
ถึงแม้จะไม่ได้รู้จักกันมาก่อนแต่อยู่โปรแกรมเดียวกันของMEXT จึงอยู่ด้วยกันตลอดๆ นอกจากจะอยู่คณะเภสัชเหมือนกันแล้วช่วงเวลาที่เรียนจบก็น่าจะพอๆกันด้วยค่ะ
เรื่องที่รู้สึกว่าเติบโตขึ้นจากการมาเรียนที่ต่างประเทศ
Q: รู้สึกเติบโตขึ้นยังไงบ้างจากการมาเรียนต่างประเทศครับ?
A: การได้มาเรียนต่างประเทศนี้เป็นการอยู่คนเดียวครั้งแรกค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานบ้าน อาหาร การจัดการเงิน ทุกอย่างต้องทำเองทั้งหมดค่ะ เรื่องอาหารทำอาหารไทยอยู่บ่อยๆค่ะ เครื่องปรุงอย่าง KALDI ก็พอมีอยู่ วัตถุดิบก็หาได้ไม่ยากเพราะอาหารไทยก็ค่อนข้างเป็นที่นิยมในญี่ปุ่นค่ะ
ก็คงต้องเติบโตขึ้นเพราะว่าทุกๆอย่างต้องทำด้วยตัวเอง
การมารวมตัวกันของนักศึกษาไทยด้วยกันในญี่ปุ่นก็คงเป็นเพราะประสบการณ์มาเรียนต่างประเทศนี้ พอได้อยู่ต่างประเทศความเป็นมิตรต่อกันก็คงเพิ่มมากขึ้นเพราะต้องผ่านประสบการณ์ที่คล้ายๆกันมา ช่วงอายุก็ค่อนข้างกว้าง หลายๆคนทำงานก่อนแล้วค่อยมาศึกษาต่อต่างประเทศ ดังนั้นคนอายุมากกว่า30ก็มีอยู่ไม่น้อย
พอมีคนที่อายุมากกว่าอยู่ก็รู้สึกสบายใจ คนเหล่านี้ก็คงมาเจอกันได้เพราะมาศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นละค่ะ
Q:ขอคำแนะนำสำหรับคนที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ด้วยครับ
A: อย่างแรกคือ อย่ายอมแพ้ การเรียนอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญค่ะ คิดว่าหากเรียนด้วยสิ่งที่ตัวเองชอบก็คงจะมีกำลังใจเรียนและน่าจะเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คนที่ชอบอนิเมะก็เรียนด้วยอนิเมะ คนที่ชอบดนตรีก็เรียนด้วยดนตรี คิดว่าถ้ามีสิ่งที่ชอบอยู่ก็คงจะมีความอยากที่จะเข้าใจมันและมีแรงเรียนค่ะ